เกาะสเม็ด

ปาย

อุทยานแห่งชาติตาดโตน

วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2553

เที่ยว...เวียดนาม


"ไซง่อน" เป็นคำที่ชาวเวียดนามตอนใต้ใช้กล่าวขานกันมานมนาน ถึงแม้การรวมเวียดนามเหนือกับเวียดนามใต้เป็นผลสำเร็จแล้วโดยปฏิภาณความสามารถของท่านโฮจิมินห์ แต่หากเป็นชาวเวียดนามตอนเหนือแล้ว พวกเขาจะเรียกชื่อเมืองนี้ว่า "เมืองโฮจิมินห์" เพื่อเป็นเกียรติแด่วีรบุรุษของพวกเขา และเป็นชื่อเมืองหลวงแห่งใหม่ในช่วงเวลานั้น
ส่วนที่มาของชื่อเมืองไซ่ง่อน ตามภาษาเวียดนามนั้นแปลว่า "นุ่น" นุ่นที่ใช้ยัดหมอนนี่แหละ ในสมัยก่อนคงมีต้นนุ่นเยอะ แต่ปัจจุบันนั้นมากมายด้วยตึกรามใหญ่โต สิ่งปลูกสร้างมากมาย ความทันสมัยหลากหลาย ทั้งนี้ก็คงเป็นผลพวงมาจากการที่เคยเป็นเมืองหลวงของประเทศมาก่อนที่จะย้ายสับเปลี่ยนไปอยู่ที่กรุงฮานอย (Ha Noi) ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศในปัจจุบัน



โบสถ์นอร์ทเธอดาม (Notre Dame Cathedral)

โบสถ์นอร์ทเธอดาม นอกจากแสงไฟฟ้าโดยรอบ ที่สาดส่องสีเหลืองนวลมายังลานกว้างแล้ว เปลวไฟที่ปลายเทียนยังพริ้วไสวเรียงรายรอบรูปปั้นองค์พระแม่มารี ที่ยืนสูงใหญ่ในท่าทางสงบเยือกเย็นตั้งเด่นอยู่หน้าโบสถ์นอร์ทเธอดาม (Notre Dame Cathedral) โบสถ์แห่งนี้ได้รับการยกย่องว่ามีความสวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในเวียดนาม ในแต่ละวันจะมีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากมาย โครงสร้างของตัวโบสถ์เป็น สถาปัตยกรรมในสมัยอาณานิคม ส่วนปลายยอดมีหอคอยคู่สี่เหลี่ยมอยู่บน รวมความสูงจากฐานล่างประมาณสูง 40 ม. ถือเป็นเอกลักษณ์ที่งดงาม
โบสถ์นอร์ทเธอดามแห่งนี้ ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองบนถนน Han Thuyen ก่อสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2420 ใช้ระยะเวลาการสร้าง 6 ปี และสิ่งที่ถือเป็นเอกลักษณ์ของสถานที่แห่งนี้คือ ไม่มีการประดับด้วยกระจกสีเหมือนโบสถ์คริสต์แห่งอื่นๆ เพราะได้รับความเสียหายจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ปัจจุบันนักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาชมกันมาก เพราะเป็นเสมือนสัญลักษณ์ร่วม อันหมายถึงการเข้ามาของชาติตะวันตก และเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของเมืองโฮจิมินห์
เมื่อยืนเงยหน้ามองพระแม่มารี แล้วมองถัดไปถึงยอดหอคอยคู่ของโบสถ์นอร์ทเธอดามที่อยู่ด้านหลัง ได้เห็นถึงความสวยงามอันเกิดขึ้นจากความศรัทธาของผู้คนในสมัยนั้น แม้จะเป็นห้วงเวลาวิกฤติกาลแห่งรอยต่อ แต่ความเชื่อถือและพลังศรัทธา ก็ยังสามารถทำให้เกิดสุดยอดผลงานน่าอัศจรรย์ได้ เปรียบประดุจชีวิตปุถุชนทุกวันนี้ที่วุ่นวายสับสน แก่งแย่งชิงเด่น พยามเหยียบย่ำทำลายกัน เพียงเพื่อตัวเองและพรรคพวกได้เป็นใหญ่ มุ่งหวังแต่กอบโกยทรัพย์ ยศ ตำแหน่ง กามโลกีย์ มาเป็นของตัว แต่หาได้เกิดจากความสามารถที่ถูกต้องไม่....อนิจจา โบสถ์นอร์ทเธอดามและพระแม่มารี ทำให้ผมคิดได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ

ไปรษณีย์กลางโฮจิมินห์ (Main Post Office)

ตั้งอยู่ ใกล้ๆ กับโบสถ์นอร์ทเธอดาม ถ้าหันหน้าเข้าหาโบสถ์ไปรษณีย์กลางจะอยู่ทางขวามือ ที่แห่งนี้ก่อสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2439 มีการออกแบบและก่อสร้างในสไตล์ฝรั่งเศส ตกแต่งอย่างงดงามด้วยกระจกสี และแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2444 เป็นที่ทำการไปรษณีย์ที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม มีความยิ่งใหญ่โอ่โถงสวยงาม ถึงกับทำให้นักออกแบบสถาปัตยกรรมมากมาย ต้องมาศึกษามาชมการออกแบบตกแต่งอาคารแห่งนี้ ส่วนภายในตัวอาคารมีการประดับด้วยภาพแผนที่ทางทะเลโบราณ และภาพของท่านโฮจิมินห์ ไว้มากมายหลายภาพ
ไปรษณีย์กลางโฮจิมินห์ ในยามค่ำคืนกลาย เป็นจุดนัดพบของวัยรุ่นชาวเวียตนาม
ทุกวันนี้ไปรษณีย์กลางโฮจิมินห์ ยังเปิดให้บริการทั้งการส่งจดหมาย ขายแสตมป์เพื่อการสะสม หรือนักท่องเที่ยวจะส่งโปสการ์ด หรือโทรศัพท์ระหว่างประเทศ ก็สามารถมาใช้บริการได้ในอัตราค่าบริการมาตรฐานทั่วไป แถมมีร้านขายของที่ระลึกอีกด้วย
น่าไปชมคะ นานทีได้ชมสถานที่เก่าๆ ที่มีประวัติความเป็นมา ได้ยืนนิ่งกวาดตาไปรอบๆ ก็เริ่มเห็นฝรั่งมังค่า แต่งชุดทหารเดินกันขลุกขลักขวักไขว่ เห็นชาวเวียดนามเดินใส่งหมวกน๊อบลาหลายคน ส่วนสาวๆ ก็ใส่ชุดอ๋าวหญ่ายพริ้วไสว เดินถือซองจดหมายขึ้นลงที่ทำการไปรษณีย์...และแล้วผมก็ตื่นจากภวังค์เป็นครั้งที่สอง พลันนึกได้ว่า คงต้องมาใหม่ในช่วงกลางวัน เพราะกลางคืนอย่างนี้เขาปิดให้บริการ
บรรยากาศในช่วงค่ำตอนนี้ ทำให้ได้เพลิดเพลินกับแสงไฟเหลืองนวล หนุ่มสาวชาวเวียดนามจะใช้เวลานี้ของวันมาพบปะกันในที่สาธารณะทั่วไป บริเวณหน้าโบสถ์นอร์ธเธอดาม และหน้าไปรษณีย์กลางโฮจิมินห์ ก็ถือเป็นที่สาธารณะ ซึ่งมีพื้นที่ด้านหน้าเป็นบริเวณกว้าง จึงมีกลุ่มวัยรุ่นหนุ่มสาวมาจอดมอเตอร์ไซต์คู่ชีพนับร้อยๆ คัน นั่งคุยกัน หญิงสาวเหล่านั้นล้วนผิวขาวบอบบาง ส่วนใหญ่พวกเธอชอบนุ่งกางเกงขาสั้นเหมือนวัยรุ่นสาวบ้านเรา แต่เธอไม่ชอบแต่งหน้ากันมากนัก
วิถีชีวิตของวัยรุ่นหนุ่มสาวชาวเวียดนามดูเรียบง่าย พวกเขาไม่นิยมแต่งรถให้มีรูปร่างหรือเสียงที่ผิดแผกแตกต่างไปจากรูปแบบเดิม คือ ซื้อมาอย่างไรก็ขับกันไปอย่างนั้น นึกแล้วก็คิดถึงวัยรุ่นบ้านเรา ที่มีความสามารถมากกว่าวิศวกร เพราะรถที่ออกมาจากศูนย์ ผ่านการทดสอบมามากมายก่อนการขาย ก็ยังไม่ดีหรือได้มาตรฐานเท่า ต้องมาแต่งเติม ถอดออก จึงจะเรียกได้ว่า นี่คือสุดยอดพาหนะ ที่ผ่านกระบวนการความคิดสร้างสรรค์ของฉัน...น่าเห็นใจ

จัตุรัสโฮจิมินห์ (Tran Nguyen Hai Statue)
ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองไม่ไกลจากสองสถานที่ข้างต้นมากนัก จัตุรัสโฮจิมินห์นี้จะมีรูปปั้นของท่านโฮจิมินห์นั่งอยู่กับกับเด็กๆ ในบรรยากาศอบอุ่น เบื้องหลังเป็นศาลาว่าการเมือง ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่สวยงามในสไตล์ฝรั่งเศส หากมองจากจุดนี้สามารถมองให้เห็นถึงความจอแจของเมืองใหญ่ เนื่องจากที่นี่เป็นศูนย์กลางของเมือง และยังเป็นศูนย์กลางของการค้าขายด้วย
ตลาดบินถั่น (Ben Thanh Market)

พูดถึงการค้าขาย หรือ หากนักท่องเที่ยวที่เป็นนักช๊อปแล้ว จะต้องไปเยือน ตลาดบินถั่น ตั้งอยู่ริมถนนเลเลย (Le Loi) ใกล้ๆ กับจัตุรัสโฮจิมินห์ นี้แหละ ตลาดแห่งนี้ก่อสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2457 บนพื้นที่ประมาณ 1 ตร.กม. ด้านหน้ามีหอนาฬิกาเป็นจุดสังเกตุ ตลาดบินถั่นได้รับความนิยมอย่างมาก ทั้งจากชาวเวียดนามและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เพราะมีสินค้าจำหน่ายมากมาย ราคาไม่แพง สามารถต่อรองได้ อาทิ เสื้อผ้า กระเป๋าเดินทาง ของที่ระลึก นาฬิกา อาหาร ซึ่งล้วนแต่ราคาไม่แพง อย่าลืมครับหากมาเที่ยวเมืองไซ่ง่อน หรือเมืองโฮจิมินห์แห่งนี้ ต้องมาที่ตลาดบินถั่นด้วย แล้วท่านจะได้สินค้ากลับไปแบบคาดไม่ถึง

พระราชวังเว้

คืออดีต...อันงดงาม

อดีตนครจักรพรรดิหรือเว้ เป็นอาณาจักรที่จักรพรรดิยาลอง
องค์ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์เหวียนเป็นผู้สถาปนาขึ้น

แต่เดิมนั้น...เว้เป็นเมืองเล็กๆที่ตั้งอยู่ใจกลางของประเทศเวียดนาม
ต่อมา...ได้เกิดความขัดแย้งและสงครามระหว่างดินแดนทางตอนเหนือและตอนใต้
พี่น้องตระกูลเตยเซินได้ก่อกบฏขึ้นและยึดเวียดนามไว้ได้ทั้งหมด
เหวียนฉวางซึ่งเป็นผู้ปกครองเวียดนามใต้อยู่ในขณะนั้นได้ลี้ภัยมาพึ่ง
พระบรมโพธิสมภารในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกนานถึง 4 ปี
แล้วกลับมาปราบกบฏพี่น้องเตยซินลงได้ในปี พ.ศ. 2345
และรวบรวมดินแดนทางตอนเหนือและตอนใต้เข้าไว้ด้วยกัน
และเรียกชื่อดินแดนแห่งนี้เสียใหม่ว่า "เวียดนาม”
พร้อมกับสถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิยาลองแห่งราชวงศ์เหวียน
และสถาปนาเมืองเว้ซึ่งเป็นราชธานี...
















พระเจ้ายาลองปกครองเวียดนามได้ 33 ปี ฝรั่งเศสก็บุกเข้าโจมตีเมืองเว้ จักรพรรดิหลายพระองค์ได้ผลัดเปลี่ยนกันขึ้นครองบัลลังก์ในช่วงสั้นๆ

เมืองเว้ถูกยึดครองโดยญี่ปุ่นในมหาสงครามเอเชียบูรพาเมื่อปี พ.ศ. 2488 และในสิงหาคมปีเดียวกันนี้เองที่พระเจ้าเบ๋าได่ได้สละราชสมบัติเป็นอันสิ้นสุดราชวงศ์เหวียน
เมืองเว้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเวียดนามใต้ตามการแบ่งประเทศออกเป็น 2ส่วน และได้เสื่อมสลายลงภายใต้การปกครองของรัฐบาลโงดิงห์เดียม
นครแห่งจักรพรรดิต้องประสบกับความเสียหายอย่างหนัก ระหว่างการบุกเข้าโจมตีของเวียดกงในปี พ.ศ. 2511

แม้ว่าเมืองเว้จะได้รับความเสียหายจากพิษภัยของสงคราม แต่ก็ยังคงหลงเหลือร่องรอยแห่งความเจริญรุ่งเรืองของนครจักรพรรดิอยู่อีกไม่น้อยเช่นกัน แต่ละแห่งล้วนมีเรื่องราวและรอยอดีตมากมายให้นักเดินทางอย่างเราได้ค้นหา...
ความสวยงามของพระราชวังโบราณแห่งนี้เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งอดีตกาล ถ้าเราย้อนเวลากลับไปได้...เราคงได้เห็นชีวิตที่สวยงามแห่งราชสำนัก เราคงได้เห็นชีวิต...ที่มีทั้งสุขและเศร้าของเหล่าสนมและนางใน
พระราชวังแห่งนี้...ถูกขนานนามว่าเป็น “พระราชวังต้องห้าม”
ที่ในอดีตนั้น...สามัญชนอย่างเรามิอาจเฉียดกราย...เข้าไปใกล้ชิด

อดีตอาจจะ...พาบางสิ่งไปจากเรา

แต่อดีต...ก็ให้บางสิ่งบางอย่างกับเราเช่นกัน

มนต์เสน่ห์ของพระราชวังโบราณแห่งนี้... มิได้สูญหายไปพร้อมกับกาลเวลา

ยังหลงเหลือร่องรอยแห่งความงดงามในอดีต ไว้ให้เราได้บันทึกและจดจำ

ในวันที่มีโอกาส...ได้มาเยือน

1 ความคิดเห็น: